ชนะตลาดโดยไม่ต้องเฝ้าจอเทรด ไม่ต้องอ่านงบเป็น
การลงทุน หนึ่งในศาสตร์และศิลป์ที่คนจำนวนมากให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะขององค์ความรู้เพื่อยกระดับ และต่อยอดความมั่งคั่งของตน โดยการลงทุนนั้นประกอบไปด้วยองค์ความรู้ย่อยๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องขององค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจมหภาค องค์ความรู้ด้านลักษณะเฉพาะของแต่ละธุรกิจที่สนใจ องค์ความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยง (risk management) องค์ความรู้ด้านการจับจังหวะของตลาด (Timing) องค์ความรู้ด้านงบดุลของแต่ละบริษัท ซึ่งมีรายละเอียดเฉพาะตัวสูง และองค์ความรู้ด้านอื่นๆ อีกมาก
ส่งผลให้การลงทุนเป็นอีกศาสตร์และศิลป์หนึ่งที่ต้องใช้เวลาศึกษาจำนวนมาก แต่ก็อาจจะไม่ครอบคลุมทุกปัจจัยอยู่ดี เช่น ปัจจัยที่คาดไม่ถึงที่อาจเข้ามากระทบโดยไม่ทันตั้งตัว เช่น อุบัติเหตุทางธุรกิจ หรือ ปัจจัยด้านธรรมาภิบาลของผู้บริหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนเหนือตลาด ด้วยความพยายามจับจังหวะการลงทุนที่หมายถึงจะต้องเฝ้าหน้าจอการซื้อขายอยู่ตลอดเวลา
หากเป็นนักลงทุนเต็มเวลา (full time trader, full time investor) ปัจจัยด้านเวลาอาจไม่เป็นปัญหามากนัก แต่ผู้คนจำนวนมากยังต้องมีกิจการให้ดูแล หรือทำงานประจำอยู่ ดังนั้นตัวช่วยการลงทุนจึงถูกคิดค้น และนำเสนอออกมาเป็นจำนวนมาก เช่น ระบบ Algo Trade, บริการผู้แนะนำด้านการลงทุน, Machine Learning หรืออื่นๆ
ทำให้ในปัจจุบันแนวคิดการลงทุนแบบเป็นระบบ (systematic investing) เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะตัวช่วยด้านการลงทุนที่จะช่วยให้คุณมีโอกาสสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้โดยไม่ต้องเฝ้าจอ และไม่จำเป็นต้องอ่านงบการเงินเป็น
Systematic Investing คืออะไร
systematic investing คือ แนวคิดด้านการลงทุนที่เป็นระบบ ที่ถูกสร้างขึ้นบนสมมติฐานด้วยความสมเหตุสมผลจากการรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก ตามกระบวนการคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งหมายถึงจะต้องมีการทดสอบให้แน่ใจว่าสมมติฐานนั้นถูกต้อง หรือประสบความสำเร็จก่อนที่จะนำไปประยุกต๋ใช้จริง ด้วยการทดสอบย้อนหลัง (back test) เพื่อให้ได้ข้อสรุปเชิงสถิติว่าระบบการลงทุนนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในอดีตที่ผ่านมา และทดสอบระบบกับสถานการณ์จริง (forward test) เพื่อให้แน่ใจว่าระบบนั้นไม่ได้เหมาะสมแค่ในอดีตเท่านั้น แต่ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้ในปัจจุบัน และต่อๆ ไปในอนาคต
แต่เมื่อมีปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ ก็พร้อมที่จะเปิดรับความเปลี่ยนแปลงนั้นๆ เข้ามาเป็นตัวแปร และทดสอบใหม่ เพื่อพัฒนาให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ หรือในที่นึ้คือกลยุทธ์การลงทุนใหม่ๆ อยู่เสมอ
พร้อมด้วย “กฏเกณฑ์” หรือ “หลักการ” ลงทุนที่เหมาะสม เพื่อจำกัดความเสี่ยงของการลงทุนให้เหมาะสมต่อโอกาสสร้างผลตอบแทนมากที่สุด
ตัวอย่างนักลงทุนอย่างเป็นระบบ
จิม ไซมอนส์ (Jim Simons) ผู้ก่อตั้งอดีต Hedge Fund อันดับสองของโลก ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารถึง 4.3 ล้านล้านบาท Renaissance Technologies ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1982 คือหนึ่งในนักลงทุนแบบ systematic investing ที่ประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน
ด้วยกลยุทธ์การเก็งกำไรระยะสั้น ของกองทุน Medallion กองทุนเรือธงของ Renaissance Technologies ที่สร้างผลตอบถึงเฉลี่ย 66% ต่อปี หรือคิดเป็น 39% หลังหักค่าธรรมเนียม ในช่วงปี 1988 - 2018 หรือกว่า 30 ปี
โดยมีจุดที่น่าสนใจก็คือ จิมไซมอนส์นั้น เป็นนักคณิตศาสตร์ ที่หันเหมาประกอบอาชีพเป็นนักลงทุน และประสบความสำเร็จได้จากสูตรคณิตศาสตร์เหล่านั้น ด้วยการใช้ AI หรือการซื้อขายอัตโนมัติ ซึ่งเกิดจากการรวบรวมข้อมูลที่สัมพันธ์กับราคาสินทรัพย์ขนาดกว่าพันล้านกิกะไบต์ในทุก ๆ วันและทดสอบ จนได้โมเดลที่ประสบความสำเร็จ
อีกรายคือ เรย์ ดาลิโอ ชายผู้ก่อตั้งอดีต hedge funds อันดับ 1 ของโลก อย่าง Bridgewater ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารถึง 8.2 ล้านล้านบาท ซึ่งมีพอร์ตการลงทุนขึ้นชื่อคือ All Weather Portfolio ที่สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 9.7% ต่อปีในช่วง ค.ศ. 1996 - 2020 เหนือกว่า S&P 500 ที่สร้างผลตอบแทนได้ 7.6% เท่านั้น จากแนวการลงทุนแบบ risk parity หรือการจับความเสี่ยงให้เหมาะสมกัน เพื่อกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม ด้วยข้อมูลทางสถิติ และการวิเคราะห์หารูปแบบในอดีตเพื่อคาดการณ์อนาคตในหลากหลายแง่มุม
การลงทุนแบบเป็นระบบจะช่วยนักลงทุนได้อย่างไร
- ลดอคติในการตัดสินใจลงทุนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เช่น ซื้อในยามที่ตลาดกังวลมากๆ หรือปกคลุมไปด้วยความกลัว หรือ ขายในช่วงเวลาที่ตลาดส่งสัญญาณการปรับตัวขึ้นต่อ จากข้อมูลที่ผ่านการออกแบบและทดสอบว่ามีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ จะช่วยลดอคติต่อการตัดสินใจนั้นๆ ได้ ลดโอกาสการผิดพลาดเพราะอคติส่วนตัว หรืออิทธิพลจากตลาดได้
- ประหยัดเวลา ในการค้นคว้าหาข้อมูล เนื่องจากระบบจะทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยส่วนตัว ในการแนะนำจังหวะซื้อ ขาย และถือครองให้ ทำให้นักลงทุนมีเวลาเหลือในการศึกษามากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนที่ดีมากขึ้นต่อๆ ไป
- สามารถประเมินผล และปรับให้ดีมากขึ้นได้ต่อเนื่อง จากแนวคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้สามารถที่จะศึกษาผลการดำเนินงาน และประเมินได้ว่าสาเหตุแห่งความสำเร็จ หรือผิดพลาดในช่วงที่ผ่านมา เกิดขึ้นจากปัจจัยใด ยังเหมาะสมหรือไม่ และสามารถนำบทเรียนดังกล่าวปรับระบบ ให้เหมาะสมกับการลงทุนต่อไปในอนาคตได้อย่างเป็นระบบ
💪 ผ่านการวิจัยอย่างตรงไปตรงมา ไม่หมกเม็ด 😺 ลงทุนง่ายๆ มุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนในระยะยาว 🥳 โปรโมชั่นเปิดตัว! หากพอร์ตแนะนำไม่กำไร คืนเงินเต็มจำนวน
https://www.finnomena.com/mrserotonin/asp-legacy-ui/
https://medium.com/ml-everything/how-renaissance-technologies-solved-the-market-part-1-2814eb271dc3
คำเตือน
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เดฟินิท จำกัด (บริษัท) ไม่สามารถยืนยันหรือรับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ บทวิเคราะห์ในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขาย หลักทรัพย์ใดใดของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลมาจากวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดๆ กับ บริษัท